วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การประกันธุรกิจหยุดชะงัก

                                          ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก(Business Interruption insurance)
1.             การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คืออะไร
     การทำประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น การประกันอัคคีภัย การประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด เมื่อเกิดความสูญเสีย หรือเสียหายเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยแล้ว ผู้เอาประกันภัยจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะตัวทรัพย์สินที่เอาประกันภัย เท่ากับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือผู้รับประกันภัย อาจชดใช้เป็นเงินสด หรือโดยการซ่อมแซม ให้กลับสู่สภาพเดิม หรือสร้างให้ใหม่ตามข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย
    เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า หากอัคคีภัยนั้นเกิดขึ้นต่อโรงงานที่ดำเนินการผลิต สินค้าใด ๆ ก็ตามนอกจากจะเกิดความเสียหาย ต่อทรัพย์สินแล้ว จะมีผลทำให้โรงงานนั้นต้องหยุดกิจการเพื่อมีการซ่อมแซมโรงงาน การผลิตก็หยุดชะงักลงในขณะที่ไม่มี การผลิตนั้นมีผลทำให้ยอดรายได้ของ เจ้าของธุรกิจลดลง ตัวอย่างเช่น โรงงานทอผ้าแห่งหนี่ง ทำประกันอัคคีภัยโรงงาน ไว้เต็มตามมูลค่าของทรัพย์สิน ต่อมาเกิดเพลิงไหม้ ทำให้โรงงานเสียหาย 50% บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าเสียหายตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง 50% นั้น และเมื่อพิจารณาต่อไปว่า ขณะที่รอการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและซ่อมแซมโรงงานนั้น การผลิตก็จะหยุดชะงักลงซึ่งเป็นผลเสียหายสืบเนื่องจากเพลิงไหม้ทำให้เกิดผล ที่ตามมาคือ ยอดรายได้ของเจ้าของโรงงานลดลง ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ยังคงต้องจ่ายแม้จะไม่มีการผลิต เช่น ค่าเงินเดือน ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่า เป็นต้น แต่ค่าใช้จ่ายบางส่วนจะลดลง ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน เป็นต้น
    ดังนั้น การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเจ้าของธุรกิจ
    โดยหลักการแล้วการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก เป็นการประกันภัยที่คุ้มครองความสูญเสียในทางการค้า (รายได้ของผู้เอาประกันภัย) เมื่อธุรกิจต้องหยุดชะงักลง อันเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน ที่เอาประกันภัยไว้และเป็นทรัพย์สิน ที่มีผลต่อการค้าของ ผู้เอาประกันภัย วัตถุประสงค์ของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักคือ เพื่อทำให้ผู้เอาประกันภัย กลับสู่สถานะทางการเงินดังเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีอัคคีภัยหรือภัยอื่นๆ ที่เอาประกันภัยเกิดขึ้น
คำว่าธุรกิจหยุดชะงัก มีความหมายครอบคลุมเพียงใด
   คำว่าธุรกิจหยุดชะงัก หมายถึง การที่โรงงาน/กิจการ ต้องหยุดดำเนินการผลิตชั่วคราวเพื่อรอการซ่อมแซมหรือสร้างโรงงานใหม่ อันเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน
1.             การประกันภัยหยุดชะงัก มีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร เหมาะกับสภาพความเสี่ยงแบบใด

   การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักมีแบบเดียว แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปได้แก่
- การประกันภัยกำไร (Profit Insurance)
- การประกันภัยรายได้ธุรกิจ (Business Income Coverage)
- การประกันภัยรายได้ (Income Insurance)
แต่ที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย เช่น
·       การประกันภัยความเสียหายสืบเนื่อง (Consequential Loss Insurance) หมายถึง การประกันภัยความเสียหาย ทางการเงิน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากความเสียหายทางวัตถุอันเกิดจากภัยที่เอาประกันภัยได้
·       การประกันภัยการสูญเสียกำไร (Loss of Profit Insurance) เป็นคำที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความหมายเหมือนกับ การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance) เป็นคำที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้งสองคำนี้หมายถึงการประกันภัยความเสียหายอันเนื่องมาจาก การหยุดชะงักของธุรกิจจากเหตุการณ์อันไม่อาจ คาดการณ์ล่วงหน้าได้ เช่น เพลิงไหม้โรงงานเครื่องจักร เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรแล้วทำให้เกิดเพลิงไหม้ เป็นต้น  ดังนั้น ธุรกิจใดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดดังกล่าวข้างต้น จึงควรทำประกันภัยประเภทดังกล่าวนี้
2.             บริษัทประกันภัยใช้ปัจจัยอะไรบ้างในการพิจารณาอัตราเบี้ยประกันภัย และการกำหนดวงเงิน คุ้มครองจะพิจารณาจากปัจจัยอะไรบ้าง
การกำหนดจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก มี 2 วิธี คือ
3.1 โดยวิธีผลรวม เป็นแบบเดิม
คำนวณจากกำไรสุทธิบวกด้วยภาระผูกพันทางการเงิน ได้แก่ ดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายคงที่หรือค่าใช้จ่ายประจำ (Standing Charges)
จำนวนเงินเอาประกันภัย =
 กำไรสุทธิ

+ ค่าใช้จ่ายคงที่ที่ต้องการเอาประกันภัย

+ ภาระผูกพันทางการเงิน
·       กำไรสุทธิ หมายถึง รายได้ที่ขาดหายไปเมื่อเกิดการหยุดชะงักของธุรกิจ
·        ค่าใช้จ่ายคงที่และภาระผูกพันทางการเงิน เป็นสิ่งที่ผู้เอาประกันภัยยังคงต้องจ่ายแม้จะไม่มีการผลิตก็ตาม ค่าใช้จ่ายคงที่ ได้แก่ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าเสื่อมราคา ค่าสอบบัญชี เป็นต้น
·       ภาระผูกพันทางการเงิน ได้แก่ ดอกเบี้ยจ่าย เป็นต้น
3.2 โดยวิธีผลต่าง เป็นแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
จำนวนเงินเอาประกันภัย = ยอดขาย (ยอดรายได้) - ต้นทุนขาย - ค่าใช้จ่ายผันแปร
·     ยอดขายหรือยอดรายได้ หมายถึง เงินที่ผู้เอาประกันภัยได้รับแล้ว หรือมีสิทธิ์จะได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า ตามปกติของการดำเนินธุรกิจของผู้เอาประกันภัย ณ. สถานที่ของผู้เอาประกันภัยนั้น
·     ต้นทุนขาย คำนวณได้จาก

สินค้าคงเหลือต้นงวด
บวก 
+สินค้าที่ซื้อเข้ามาระหว่างงวด

+ต้นทุนสินค้าที่มีเพื่อขาย
 หัก
- สินค้าคงเหลือปลายงวด

-ต้นทุนขาย
·       ค่าใช้จ่ายผันแปร ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะลดลงจากยอดขายหรือจำนวนสินค้าที่ผลิต

ปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
                อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะแปรผันตามระยะเวลาของการชดใช้ (Indemnity Period)
                ระยะเวลาของการชดใช้ (Indemnity Period) หมายถึง ระยะเวลาที่ผู้รับประกันภัยผูกพันที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่เกิดความเสียหายจนถึงวันที่ความเสียหายนั้นหมดไป หรือตามวันสิ้นสุดที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์
อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับภัยเนื่องจากผลเสียเมื่อกิจการหยุดชะงัก หรือผลเสียหายเนื่องจากผลกำไร (Business Interruption or Loss of Profit)
กำหนดเป็นมาตรฐานในพิกัดอัตราเบี้ยประกันอัคคีภัย ดังนี้
ระยะเวลาของการชดใช้
Indemnity Period
คำนวณจากอัตราเบี้ยประกันอัคคีภัย
Perecentage of Fire Rate
1 เดือน
2 เดือน
3 เดือน
4 เดือน
5 เดือน
6 เดือน
9 เดือน
12 เดือน
18 เดือน
24 เดือน
40% - 50%
50% - 60%
60% - 75%
65% - 95%
75% - 100%
80% - 115%
90% - 130%
205% - 150%
90% - 145%
80% - 125%
 ตัวอย่างเช่น โรงงานทอผ้าแห่งหนึ่งทำประกันอัคคีภัยทรัพย์สินไว้เต็มมูลค่า จำนวนเงินเอาประกันภัย 100 ล้านบาท ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยประกอบด้วย อาคารโรงงาน เครื่องจักรโกดังวัตถุดิบ ไม่มีส่วนลดอุปกรณ์ดับเพลิง อัตราเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยตามพิกัดอัตราเบี้ยประกันอัคคีภัยของโรงงานนี้เท่ากับ 0.325% ผู้เอาประกันภัย ได้มีการทำประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก โดยมีระยะเวลาของการชดใช้ 5 เดือน ดังนั้น อัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับ การประกันภัยดังกล่าวนี้เท่ากับ

0.325% X (75% - 100%) หรือเท่ากับ 0.24375%-0.325% หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัย 243,750-325,000 บาท
    4.  ภัยประเภทใดที่ การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก ยกเว้นความคุ้มครอง
 4.1 การประกันภัยไม่คุ้มครอง การสูญเสียที่เกิดจากหรือเกิดขึ้นโดยหรือเป็นผลต่อเนื่องจาก
          - การเผาทรัพย์สินโดยคำสั่งของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
          - เพลิงใต้ดิน
         - การระเบิด เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์
        - การไหม้ ไม่ว่าโดยอุบัติเหตุหรือโดยการอื่นของป่า พุ่มไม้ ทุ่งหญ้าและการเผาเพื่อปราบพื้นที่
        -ความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดจากการบูดเน่า ความร้อนตามธรรมชาติ หรือการระอุ หรือกรรมวิธีใด         ๆ ซึ่งใช้ความร้อนหรือการทำให้แห้ง
       - การสูญเสียหรือความเสียหายโดยตรงหรือโดยอ้อมที่มีสาเหตุ จากหรือเกิดขึ้นจากหรือเป็นผล       เนื่องมาจากหรือมีส่วนทำให้เกิดขึ้นโดยวัตถุอาวุธนิวเคลียร์
       - การสูญเสียหรือความเสียหายโดยตรงหรือโดยอ้อม ที่มีสาเหตุจากหรือเกิดขึ้นจากหรือเป็นผลเนื่องมาจากหรือมีส่วนทำให้เกิดขึ้นโดยการแผ่รังสีของละอองกัมมันตรังสี หรือ เปรอะเปรื้อนกัมมันตรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใด ๆ หรือจากกากนิวเคลียร์จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ การเผาไหม้ให้รวมถึงกระบวนการที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองจากการแตกตัวของนิวเคลียร์ด้วย
 4.2 การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองการสูญเสียใด ๆ ที่มีสาเหตุจากความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยหรือเนื่องจาก หรือเป็นผลมาจากทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม จากปรากฏการณ์ต่อไปนี้
      - แผ่นดินไหว การประทุของภูเขาไฟหรือการสั่นสะเทือนของธรรมชาติ
     - ไต้ฝุ่นเฮอริเคน ทอร์นาโด ไซโคลน หรือการรบกวนอื่น ๆ ทางบรรยากาศ
     - สงคราม การรุกราน การกระทำที่มุ่งร้ายของศัตรูต่างประเทศความเป็นปรปักษ์หรือการกระทำที่มุ่งร้ายคล้าย สงคราม(ไม่ว่าจะมีการประกาศสงครามหรือไม่ก็ตาม) สงครามกลางเมือง
   - การแข็งข้อ ความไม่สงบ การต่อต้านของทหารหรือประชาชน การกบฏ การจลาจล การปฏิวัติ การใช้กำลังทางทหารหรือการแย่งชิงอำนาจ ภาวะประกาศกฎอัยการศึกหรือภาวการณ์เข้าล้อม หรือเหตุการณ์ใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการประกาศหรือคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึกหรือภาวการณ์เข้าล้อม
    5. การประกันภัยประเภทนี้มีหลักเกณฑ์และข้อยกเว้นในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน อย่างไรบ้าง
หลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทน คือ
       - เมื่อมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินแล้วกรมธรรม์ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จึงจะมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามความคุ้มครองที่กำหนด
ข้อยกเว้นการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
1.             ผู้รับประกันภัยทรัพย์สินไม่จ่ายหรือไม่ยอมรับชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินนั้น
2.             ความเสียหายเกิดขึ้นจากภัยที่เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย ธุรกิจหยุดชะงัก แต่ไม่ได้เอาประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน
ในสภาพเศรษฐกิจตกต่ำเช่นขณะนี้ ท่านคิดว่าการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักจะช่วยเสริมความมั่นคงแก่ธุรกิจมากน้อยเพียงใด ขอคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการประกันภัยประเภทนี้        ในสภาพเศรษฐกิจตกต่ำในขณะนี้ สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าของธุรกิจหรือกิจการที่มีการผลิตควรจะทำการประกันภัย ธุรกิจหยุดชะงักไว้ ควบคู่กับการประกันภัยทรัพย์สิน เพราะดังได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าเมื่อเกิดความสูญเสียหรือเสียหายขึ้น เช่น การเกิดอัคคีภัย นอกจากทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจะได้รับการชดใช้แล้ว ขณะที่รอการซ่อมแซมหรือสร้าง โรงงานอาคารใหม่ ผู้เอาประกันภัยก็ยังคงมีรายได้ที่จะประคับประคองธุรกิจต่อไป มีเงินที่จะจ่ายในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่าย ที่ยังคงต้องจ่ายต่อไป เป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้เพราะ ถ้าหากไม่มีการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักดังกล่าวแล้ว เจ้าของธุรกิจหรือกิจการดังกล่าว จะต้องหาเงินมาชดเชย ในส่วนที่ขาดหายไป เช่น รายได้ หรือค่าใช้จ่ายคงที่ที่ยังคงต้องจ่าย ได้แก่ ดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ซึ่งแต่ก่อนธุรกิจเหล่านี้สามารถทำการกู้ยืมได้จาก สถาบันการเงินต่าง ๆ แต่ในภาวะปัจจุบันที่ค่าเงินตึงตัว สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อลดลงจึงเป็นการยากที่จะทำการกู้ยืมได้ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจหรือกิจการจึงอาจจะต้องเลิกการผลิต หรือปิดกิจการลง มีผลทำให้เกิดการว่างงานและเป็นผลเสีย ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก จึงเข้ามาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าวได้ ในต่างประเทศเคยมีการสำรวจพบว่า เจ้าของโรงงานที่มีการทำประกันภัยเฉพาะทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการทำประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักนั้น ปรากฏว่ามีเป็นจำนวนมากที่ธุรกิจเหล่านั้นไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้  แม้ว่าจะได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สินเต็มตามจำนวนเงินเอาประกันภัยแล้วก็ตาม